วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ตะไคร้ (Lemongras)

ตะไคร้ (Lemongrass) ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Staph ชื่อท้องถิ่น จะไคร (ภาคเหนือ) ไคร (ภาคใต้) คาหอม (แม่ฮ่องสอน) เชิดเกรย ,เหลอะเกรย(เขมร-สุรินทร์), ห่อวอตะโป่(กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เป็นพืชล้มลุก ความสูงประมาณ 4-6 ฟุต ใบยาวเรียว ปลายใบมีขนหนาม ลำต้นรวมกันเป็นกอ มีกลิ่นหอม ดอกออกเป็นช่อยาวมีดอกเล็กฝอยเป็นจำนวนมาก ตะไคร้เป็นพืชที่สามารถนำส่วนต้นหัวไปประกอบอาหาร และจัดเป็นพืชสมุนไพรด้วย

?
Lemon grass plant

ถิ่นกำเนิด
ตะไคร้มีถิ่นกำเนิด ในประเทศอินโดนีเซีย ศรีลังกา พม่า อินเดีย ไทย และในทวีปอเมริกาใต้
ลักษณะโดยทั่วไป
โดยทั่วไปแบ่งตะไคร้ออกเป็น 6 ชนิด ได้แก่
1.            ตะไคร้กอ
2.            ตะไคร้ต้น
3.            ตะไคร้หางนาค
4.            ตะไคร้น้ำ
5.            ตะไคร้หางสิงห์
6.            ตะไคร้หอม
เป็นพืชตระกูลหญ้า ตะไคร้เป็นพืชที่เจริญเติบโตง่าย อาจมีทรงพุ่มสูงถึง 1 เมตร มีลำต้นที่แท้จริงประมาณ 4-7 เซนติเมตร ลำของต้นจะถูกห่อหุ้มไปด้วยกาบใบโดยรอบ ใบยาวแคบเส้นใบขนานกับก้านใบ ใบของตะไคร้อุดมไปด้วยน้ำมันหอมระเหย ที่นิยมนำมาปลูกเป็นพันธุ์พื้นเมืองที่ปลูกกันโดยทั่วไป
การปลูกและขยายพันธุ์
ปลูกได้การปักชำต้นเหง้า โดยตัดใบออกให้เหลือตอนโคนประมาณหนึ่งคืบ นำมาปักชำไว้สักหนึ่งสัปดาห์ก็จะมีรากงอกออกมา แล้วนำไปลงแปลงดินที่เตรียมไว้ หรืออาจใช้วิธีเอาโคนปักลงไปที่ดินซึ่งเตรียมไว้เลย ให้ห่างประมาณหนึ่งศอก ถ้าปลูกในกระถางใช้วิธีปักโคนลงในกระถางๆละ 2-3 ต้นก็ได้ แล้วหมั่นรดน้ำให้ชุ่มเช้าเย็น ตั้งไว้ให้โดนแดดตลอดวันจะทำให้โตได้เร็ว ตะไคร้ชอบดินร่วนซุย เป็นพืชที่ชอบน้ำ ชอบแดด ดูแลรดน้ำเสมอและโดนแดดได้ตลอดวัน เจริญได้ในดินแทบทุกชนิด เวลาจะใช้ก็ให้ตัดที่โคนสุดส่วนรากเลย แล้วถอนออกมาทั้งต้นตามต้องการ ต้องคอยตรวจดูเมื่อตะไคร้มีกอเจริญเติบโตได้เต็มที่แล้ว ต้องถอนทิ้งหรือแยกออกไปปลูกใหม่บ้างหรือเอาไปใช้บ้าง จำนำมาหั่นเป็นฝอยๆ ตากลมไว้ให้แห้งสนิทแล้วแพ็คเก็บไว้ใช้ได้นานๆ เพื่อให้ต้นอ่อนโตขึ้นมาใหม่ ถ้าไม่แยกออกไปต้นจะเล็กและลีบลงเรื่อยๆ และบางที่ก็แคระแกร็น ต้นและกอก็จะโทรม ต้องล้างและปลูกใหม่ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นการแตกหน่อกัลนี่ทำให้การปลูกและการขยายพันธ์ได้ง่าย
สรรพคุณ
ใช้ส่วนของเหง้าและลำต้นแก่ ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารที่สำคัญหลายชนิดเช่น ต้มยำ และอาหารไทยหลายชนิด ให้กลิ่นหอม มีสรรพคุณทางยาเช่น บำรุงธาตุ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร แก้โรคหืด แก้อหิวาตกโรค บำรุงสมอง ช่วยให้สมาธิดี ต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาเจียน ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมาในกรณีผู้ที่เมามากๆ ช่วยให้สร่างเร็ว ส่วนหัวสามารถใช้แก้โรคเกลื้อน ท้องอืดท้องเฟ้อ โรคนิ่ว มากไปกว่านั้นยังสามารถทำเป็นยาช่วยนอนหลับ ช่วยลดความดันสูง น้ำมันตะไคร้หอมใช้ทากันยุงได้ ถ้าปลูกใกล้ผักอื่นๆจะช่วยกันแมลงได้และยังให้กลิ่นหอม ที่ดับกลิ่นบางชนิดใช้ตะไคร้เป็นส่วนผสมเพราะมีกลิ่นที่หอม และที่กำจัดยุงบางชนิดก็ใช้ตะไคร้เป็นส่วนผสมด้วยเนื่องจากมีกลิ่นที่แรงจึงช่วยทำให้ไล่ยุงได้ นอกจากนี้ตะไคร้ยังแก้กลิ่นคาวหรือดับกลิ่นคาวของปลา และเนื้อสัตว์ได้ดีมากๆ
สรรพคุณ : ทั้งต้น ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทานวดก็ได้ และยังใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นรักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และขับเหงื่อ
          หัว เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการขัดเบา ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะเป็นยาแก้อาเจียน แก้ทราง ยานอนหลับลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้น และแก้ลมใบ ใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้
          ราก ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย
         ต้น ใช้เป็นยาแก้ขับลม แก้เบื่ออาหาร แก้ผมแตก แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว เป็นยาบำรุงไฟธาตุให้เจริญ แต่ถ้าเอาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะแก้โรคหนองใน และนอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นคาวด้วย

ที่มา  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Valentine's&White Day สไตล์ญี่ปุ่น

Valentine's&White Day สไตล์ญี่ปุ่น

14 กุมภาพันธ์ ของทุกๆปี เป็นปีที่ทั้งชายและหญิงชาวญี่ปุ่น ต่างก็รอคอยกัน คุณผู้ชายคงรอคอยว่า ปีนี้จะได้หรือไม่ได้... จะได้อะไรนี่ก็มีความเป็นไปได้หลายอย่างนะค่ะ เช่น จะได้ชอกโกแล็ตไหมหนอ จะได้แฟน (=ถูกสารภาพรักไหมหนอ) บางคนหวังถึงว่า จะได้แอ้มไหมหนอ ด้วย ส่วนคุณผู้หญิงก็คงตื่นเต้นไม่แพ้กัน ที่จะคิดว่าปีนี้จะให้กับใครดี.... จะให้อะไรนี่ก็แล้วแต่คนนะค่ะ บางคนคิดหนักว่าปีนี้จะให้ชอกโกแล็ตกับใครบ้าง , จะให้คำสารภาพรักเขาคนนั้นดีไหม บางคนถึงขนาดเตรียมใจที่จะให้ความบริสุทธิ์กับเขาคนนั้น ในวันนี้ แหะๆๆ... สรุปแล้ว 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ชายหญิงญี่ปุ่น (และทั้งโลก) ทุกคนต่างรอคอย เพราะถือเป็นวันที่จะได้และให้ความรัก คือวันวาเลนไทน์นั่นเอง

ประวัติของวันวาเลนไทน์
เริ่มมาจาก เมื่อศตวรรษที่ 3 มีบาทหลวงองค์หนึ่งชื่อ เซนต์ วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับการที่จักรพรรดิ คราวเดียสที่ 2 แห่งโรม ห้ามไม่ให้เหล่านักรบแต่งงาน เนื่องจากเกรงว่าหากนักรบมีครอบครัวแล้ว จะทำให้คุณภาพของกองทัพด้อยลง เซนต์ วาเลนไทน์ จึงทำการแอบจัดพิธีอย่างลับๆให้กับเหล่านักรบที่มีความต้องการจะแต่งงาน แต่เรื่องก็เข้าไปถึงหูของจักรพรรดิ์ ทำให้เซนต์ วาเลนไทน์ ถูกสำเร็จโทษเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปีคศ 269 เหล่าหนุ่มสาวที่ได้แต่งงานกันเพราะความช่วยเหลือของเซนต์วาเลนไทน์ จึงเลือกวันที่ 14 กพ ซึ่งเป็นวันตายของเซนต์วาเลนไทน์ เป็นวันระลึกถึงท่านเซนต์วาเลนไทน์ เพื่อแสดงความขอบคุณและความเศร้าโศกในการตายของท่าน และหลังจากนั้นเมื่อประมาณศตวรรษที่ 14 หนุ่มสาวหลายคู่ได้ส่งของขวัญหากันและกัน และเป็นวันที่ใช้สำหรับสารภาพรัก กันในแถบยุโรปและอเมริกาและกระทำกันเรื่อยมาทุกๆปีตั้งแต่จากนั้นเป็นต้นมา

สำหรับเทศกาลวันวาเลนไทน์ในประเทศญี่ปุ่นนั้น ก่อนอื่นต้องขออธิบายความแตกต่างระหว่างในญี่ปุ่นและในประเทศอื่นๆก่อน ในญี่ปุ่นนั้น วันวาเลนไทน์ เป็นวันที่ "ผู้หญิงจะให้ชอกโกแล็ตแก่ผู้ชาย" (แต่ในปัจจุบันไม่ได้จำกัดเฉพาะการให้ชอกโกแล็ต แต่อาจจะมีการให้ของขวัญอื่นๆ และอาจจะสารภาพรักต่อฝ่ายชายในวันนี้ (ซึ่งชายโสดหลายๆคนอยากได้ยิ่งกว่าวสิ่งของอื่นใดในโลก)) แต่สำหรับวาเลนไทน์ของประเทศอื่นๆนั้น จะเป็นวันที่ "ผู้ชายให้ของขวัญแก่ผู้หญิง" หรือไม่ก็ "ทั้งชายและหญิงให้ของขวัญแก่กันและกัน" สำหรับที่ญี่ปุ่นแล้ว วันที่ผู้ชายจะให้ของขวัญแก่ผู้หญิงนั้น จะเรียกว่า White Day ซึ่งตรงกับวันที่ 14 มีนาคม 1 เดือนหลังจากวันวาเลนไทน์ ปัจจุบันมีเพียงเฉพาะประเทศญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เท่านั้น ที่มีเทศกาลวัน White Day

และเนื่องจากในตอนที่เซนต์ วาเลนไทน์ โดนจับอยู่นั้น ลือกันว่าเขาได้เขียนจดหมายรักจ่าหน้าไปถึงหญิงคนหนึ่งที่เขาตกหลุมรักอยู่ ก่อนที่จะถูกสำเร็จโทษ ในต่างประเทศก็จะมีหนุ่มสาวส่งการ์ดถึงกันและกันในวันวาเลนไทน์ด้วย

หลายๆคนคงสงสัยว่าทำไมวันวาเลนไทน์ของญี่ปุ่น ถึงเป็นวันที่ผู้หญิงให้ชอกโกแล็ตกับผู้ชายเท่านั้น เหตุผลก็คือ เมื่อดูจากประวัติศาสตร์ของเทศกาลวันวาเลนไทน์ของญี่ปุ่นแล้ว คนญี่ปุ่นรู้จักวันวาเลนไทน์เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1936 โดยการโฆษณาของบริษัทชอกโกแล็ตชื่อดังชื่อ Morozoff ( http://www.morozoff.co.jp/ ) เนื่องจากเจ้าของของบริษัทชอกโกแล็ตนี้ รู้จักกับนักหนังสือพิมพ์ในอเมริกา และได้รับรู้ถึงประเพณีในวันวาเลนไทน์จากนักหนังสือพิมพ์คนนั้น จึงมีความคิดที่จะนำมาเผยแพร่ในญี่ปุ่นด้วย โดย Morozoff เริ่มโปรโมตวันวาเลนไทน์ให้ชาวญี่ปุ่นรู้จักเป็นครั้งแรกด้วยการโฆษณาว่า เป็นวันสำหรับให้ของขวัญกับคนรัก แต่ว่าในปีที่มีการโฆษณานั้น ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก เพราะทางบริษัทขายช็อกโกแล็ตราคา 50 เยน ได้แค่ 3 ชิ้นเท่านั้น

หลังจากนั้นในปี 1958 เจ้าของร้าน Mary's Chocolate ( http://www.mary.co.jp/ )ได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์จากเพื่อนของเขาในยุโรป ทำให้เกิดความคิดที่จะแนะนำเทศกาลนี้ในญี่ปุ่นอีกครั้ง และเพื่อเสริมยอดขายชอกโกแลตของทางบริษัท จึงตัดสินใจจัดแคมเปญพิเศษ และโฆษณาว่า ในวันวาเลนไทน์นั้น ขอเชิญชวนผู้หญิงให้ชอกโกแล็ตเป็นของขวัญแก่ผู้ชายกันเถอะ ที่ห้างสรรพสินค้าIsetanสาขาชินจูกุ ในโตเกียว

เหตุผลที่ทาง Mary's Chocolate ต้องโปรโมตว่าเป็นผู้หญิงที่ต้องเป็นฝ่ายให้ ก็เพราะว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาช้อปปิ้งในห้างอิเซตันนั้นเป็นผู้หญิงนั่นเอง นอกจากนั้นได้มีการผลิตชอกโกแล็ตออกมาเป็นรูปหัวใจ หรือเป็นรูปราศีต่างๆออกมาด้วย ทำให้เกิดความนิยมขึ้นอย่างมาก และเมื่อจัดแคมเปญนี้ติดต่อกันเรื่อยๆมา ก็ทำให้บริษัทอื่นๆเช่น โมรินากะ ( http://www.morinaga.co.jp/ ) ทำตามบ้าง จนในที่สุดเมื่อประมาณปี 1970วันวาเลนไทน์ กลายเป็นที่นิยมในญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน สมาคมชอกโกแล็ตและโกโก้ของญี่ปุ่น ได้ทำการบัญญัติให้วันที่
14 ก.พ. ของทุกปี เป็นวันแห่งชอกโกแลต เพื่อให้บริษัทขายชอกโกแล็ตต่างๆโปรโมตและขายชอกโกแลตได้ง่ายมากขึ้น และท้ายที่สุดวันนี้จึงเป็นวันที่ผู้หญิงจะให้ชอกโกแล็ตกับผู้ชายเป็นประเพณีไปเลยจนถึงปัจจุบัน และเป็นที่แน่นอนสำหรับวงการชอกโกแล็ต ที่ยอดขายจะสูงขึ้นปรี๊ดในเดือนกุมภาพันธ์มากกว่าเดือนอื่นๆในปี สามารถกล่าวได้ว่าวันวาเลนไทน์ในญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นมาจากกลยุทธ์การขายชอกโกแล็ตของบริษัทผลิตขนมของญี่ปุ่น ซึ่งในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน พอถึงเดือนกุมภาพันธ์ก็จะมีชอกโกแลตวาเลนไทน์ออกวางขายกันเกลื่อน และแน่นอนยอดขายของชอกโกแล็ตก็จะสูงขึ้นอย่างมาก เป็นไปตามกลยุทธ์ของทางบริษัทผลิตชอกโกแล็ตที่ถูกวางไว้

สำหรับวัน White Day ที่ถือว่าเป็นเซ็ตคู่กับวันวาเลนไทน์นั้น ริเริ่มโดยร้านขายขนมชื่อ Ishimura Manmoridou ในเมืองฟุกุโอกะ เมื่อปี 1978 และหลังจากนั้นก็มีสานต่อโดยโปรโมตให้คนให้ของขวัญที่เป็นสีขาว และในเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ถูกบัญญัติให้เป็นวันแห่งชอกโกแล็ตโดยสมาคมชอกโกแล็ตและโกโก้แล้ว ทางสมาคมอุตสาหกรรมลูกกวาดแห่งประเทศญี่ปุ่นจึงได้ตัดสินใจรณรงค์ให้คนให้ของขวัญกันเป็นลูกกวาด (Candy) กันในวัน White Day และบัญญัติให้วัน White Day เป็นวันแห่งลูกกวาดด้วย

และทั้งหมดก็เป็นประวัติความเป็นมาของวันวาเลนไทน์และ White Day ในญี่ปุ่น (อย่าเพิ่งหาวกันนะค่ะ ประวัติอะไรๆก็น่าเบื่อกันแบบนี้หมดแหละ) คราวนี้จะขออธิบายว่าในวันวาเลน์ไทน์และ White Day ของญี่ปุ่นนั้น เขามีธรรมเนียมปฏิบัติยังไงกันบ้าง

วันวาเลนไทน์ ...คือวันที่ 14 กพ ของทุกปี เป็นวันที่ผู้หญิงให้ชอกโกแล็ตเป็นของขวัญแก่ผู้ชายที่รักหรือชอบ (2 คำนี้มันต่างกันยังไงนะ!?)มีการเรียกชอกโกแล็ตแบบที่ให้กับผู้ชายที่ตนรัก(แบบเป็นแฟน) หรือต้องการสารภาพรัก และนอกจากนี้ก็ยังมีการให้ชอกโกแล็ตแก่ผู้ชายที่ไม่ได้รัก(แบบแฟน) เช่น เพื่อนผู้ชาย, รุ่นพี่ผู้ชายทั้งหน้าเด็กและหน้าแก่ , รุ่นน้อง , เพื่อนร่วมบริษัทที่เป็นผู้ชายด้วย มีการเรียกชื่อชอกโกแล็ตแบบที่ให้ผู้ชายที่ไม่ได้ชอบเป็นแฟน ว่า ``Rคำว่า `แปลว่า ตามหน้าที่หรือมารยาท เพราะฉะนั้น ``R ก็หมายถึงชอกโกแล็ตที่ให้กับผู้ชายที่ไม่ได้ชอบเป็นแฟน แต่ให้ไปตามมารยาทนั่นเองจากผลสำรวจหนุ่มสาวญี่ปุ่นจำนวน 27,339 คน จากเว็บไซต์ Food-Foo (http://www.foods.co.jp) ของญี่ปุ่น 3 อันดับแรกของสิ่งของที่ผู้หญิงมักจะให้กับผู้ชายในวันวาเลนไทน์ก็คือ อันดับ 1 : ชอกโกแล็ต , อันดับ 2 : เสื้อผ้า (เช่น ผ้าพันคอ , ถุงมือ , เสื้อหนาวถัก) และ อันดับ 3 : ความรู้สึก(รัก)

วัน White Day ... คือวันที่ 14 มีค ของทุกปี เป็นวันที่ผู้ชายมอบคุกกี้หรือลูกกวาด (Candy) ให้เป็นของขวัญแก่ผู้หญิงที่ให้ชอกโกแล็ตแก่ตนในวันวาเลนไทน์ เพื่อเป็นการขอบคุณ (หรือตอบรัก) หรือเป็นการสารภาพรักแก่ผู้หญิงที่ตนชอบ จากผลสำรวจอันเดียวกัน สิ่งของ 3 สิ่งแรกที่ผู้ชายมอบให้ผู้หญิง ในวัน White Day คือ อันดับ 1 : คุกกี้ , อันดับ 2 : ชอกโกแล็ต(สีขาว) และอันดับ 3 : Kiss (แปลว่าจูบ)อย่างที่เคยกล่าวไว้ข้างต้นนะค่ะว่า วัน White Day นี้ มีเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เท่านั้น

นอกจากนี้ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ นอกจาก วันวาเลนไทน์ กับ White Day แล้ว ทั้งสองประเทศยังมีวันที่เรียกว่า Black Day ด้วย แต่คำจำกัดความของ Black Day ของที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะต่างกันที่ญี่ปุ่น วัน Black Day จะเป็นวันที่ถัดจากวันวาเลนไทน์ มีไว้สำหรับให้ชอกโกแล็ตหรือของขวัญแก่คนที่ตนเกลียดหรือไม่ชอบ ในขณะที่วัน Black Day ชองเกาหลี จะตรงกับวันที่ 14 เมษายนของทุกปี สิ่งที่เขาทำกันในวัน Black Day ของเกาหลีใต้ ก็คือ ชายหญิงที่ไม่ได้อะไรเลยในวันที่ 14 กพ (วันวาเลนไทน์) และ 14 มีค (วัน White Day) จะใส่เสื้อผ้าสีดำออกไปเดินตามถนน (ไม่รู้เป็นการประจานตัวเองไปหน่อยหรือเปล่าหนอ ว่าใครๆก็ไม่รักน่ะ) และทานบะหมี่ราดด้วย จาจาน ซึ่งเป็นซอสสีดำ และยังไม่หมดแค่นั้น ที่เกาหลีใต้ ดูเหมือนจะชอบเลข 14 มาก ในประเทศของเขาได้กำหนดให้ในวันที่ 14 ของแต่ละเดือนเป็นวันที่มีกิจกรรม และมีชื่อเรียกของแต่ละวันด้วย โดย 14 พค เป็นวัน Yellow Day , 14 มิย เป็นวัน Kiss Day , 14 กค เป็นวัน Silver Day , 14 สค เป็นวัน Green Day , 14 กย เป็นวัน Music Day , 14 ตค เป็นวัน Wine Day , 14 พย เป็นวัน Orange Day และ 14 ธค เป็นวัน Hug Day (แต่ไม่รู้เหมือนกันว่า 14 มคเป็นวันอะไร ใครมีเพื่อนเกาหลีอย่าลืมไปถามดูแล้วมาเล่าสู่กันฟังหน่อยนะค่ะ)

นอกจากนี้ที่ญี่ปุ่นยังมีวันอีกวันที่เกี่ยวกับวาเลนไทน์ คือวัน September Valentine's Day ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กันยายน เป็นวันครบครึ่งปีพอดีหลังจากวัน White Day (14 มีนาคม) ซึ่งหากผู้ชายถูกผู้หญิงที่ตนตกลงยอมรับความรักเลิกในวันนี้ จะถือว่าไม่เป็นอะไร

กลับมาเข้าเรื่องวันวาเลนไทน์และวัน White Day ในญี่ปุ่นต่อนะค่ะ วันวาเลนไทน์และ White Day ต่างก็เป็นวันที่วัยรุ่นญี่ปุ่นทั้งชายและหญิงรอคอย หลายคนรู้สึกสนุกเพราะเหมือนเป็นเทศกาล และหลายคนก็ต่างตื่นเต้นที่จะได้บอกรัก และถูกบอกรัก มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่อยากให้มีวันนี้ขึ้นมา เป็นวันสำคัญที่หนุ่มสาวญี่ปุ่นจะแสดงออกถึงความรักที่มีต่อกัน รองจากวันคริสมาสต์เลยก็ว่าได้ เขากล่าวกันว่าในวันวาเลนไทน์นั้น ยอดการเช่าห้องใน Love Hotel สูงพอๆกับยอดการเช่าในวันคริสมาสต์อีฟเลย ประมาณว่าสารภาพรักเสร็จปั๊บ ก็ไปตีตรารับรองการเป็นแฟนกันปุ๊บเลย มีคู่รักใหม่ๆเกิดขึ้นมากที่สุดในวันนี้ บางคนก็ถือโอกาสใช้วันนี้เป็นวันแต่งงานเลยก็มี แต่คนที่อกหัก หรือ แห้ว ในวันนี้ก็มีไม่น้อยเช่นกัน

สำหรับเรื่องช็อกโกแล็ตในวันวาเลนไทน์นั้น วิธีการแยกว่าชอกโกแล็ตอันไหนเป็น R หรือ R นั้น โดยมากผู้หญิงเขาจะให้ชอกโกแล็ตที่ทำเองR ไม่ก็ชอกโกแล็ตแบรนด็เนมชั้นสูง(R) สำหรับเป็น R ในขณะที่ผู้ชายเองก็อยากที่จะได้ชอกโกแล็ตที่ทำด้วยมือของผู้หญิงเอง สำหรับเป็น R ด้วย หญิงไทยคนใดอยากจะสารภาพรักผู้ชายคนไหน ก็ควรฝึกทำชอกโกแล็ตหน่อยนะค่ะ ผู้ชายเขาชอบของที่ผู้หญิงทำให้ มากกว่าของที่ร้านค้าเอามาขาย แต่ถ้าผู้หญิงคนไหนไม่มีคุณสมบัติการเป็นแม่ศรีเรือน หรือจนปัญญาที่จะทำช็อกโกแล็ตให้ผู้ชายที่ตนรัก การให้ชอกโกแล็ตแบรนด์เนมชั้นสูงหน่อยก็ไม่เรื่องที่ผิดค่ะ หยวนๆกันได้ โดยชอกโกแล็ตนั้นควรจะมีช่วงราคาประมาณ 1000-3000 เยน ซึ่งไม่แพงและไม่ถูกจนเกินไป

R ยังสามารถแบ่งย่อยออกได้อีก 2 ชนิด คือ R ที่ให้แฟนผู้ชายหรือสามีเพื่อแสดงถึงความรัก และ R ที่ให้สำหรับคนที่ตนรักเพื่อเป็นการสารภาพรัก ผู้หญิงบางคนสับสนว่า ชอกโกแลตที่ให้สามี เป็นชอกโกแล็ตแบบ R หรือ R ก็มี (แหม ถ้าคุณสามีคนใดที่คุณภรรยาให้ชอกโกแล็ตแบบ R หรือชอกโกแล็ตที่ให้ไปตามมารยาทล่ะก็ คงต้องพิจารณาตัวเองกันหน่อยแล้วล่ะค่ะ แสดงว่าความรักมันจืดจางไปหน่อยเหรอเปล่า)


สำหรับ R นั้น ปกติแล้วผู้หญิงจะให้เป็นชอกโกแล็ตแบบแปลกๆหรือR (Unique Chocolate) ที่ขายอยู่ตามร้านค้าทั่วไป หรือไม่ก็ชอกโกแล็ตที่เป็นแบบแผง (R) หรือชอกโกแล็ตผสมเหล้า ซึ่งจะอยู่ในช่วงราคาประมาณ 500-1000 เยน หรือต่ำกว่านั้น คุณผู้ชายที่ได้ชอกโกแล็ตราคาไม่แพง และไม่ได้ทำเองโดยผู้หญิงคนนั้น แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้หลงรักคุณแบบแฟนหรอก แค่ให้เพราะนับถือหรือว่าเป็นมารยาทเท่านั้น ปกติแล้วในสถานที่ทำงาน หรือว่าห้องเรียน R จะเป็นชอกโกแล็ตแบบที่ให้กันเยอะมาก ผู้หญิงส่วนใหญ่คิดว่า เป็นวิธีหนึ่งที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนที่จะให้ได้อย่างรวดเร็ว ในสถานที่ทำงานหรือโรงเรียนบางแห่ง กลัวความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในวันวาเลนไทน์ จึงมีการสั่งห้ามให้ชอกโกแล็ตกันภายในสถานที่ทำงานหรือโรงเรียนเลยก็มี (ไม่เห็นต้องเคร่งเครียดขนาดนั้นเลยเนอะ) ภรรยาบางคนจะหึงหรือไม่ เมื่อรู้ว่าคุณสามีได้ชอกโกแล็ตจากผู้หญิงที่ทำงาน บางคนก็อาจจะหึง แต่หากคิดในทางกลับกัน หากคุณสามีไม่ได้ชอกโกแล็ตแบบ R จากสาวๆที่ทำงานเลยสักอันเดียว อาจจะทำให้กังวลกันว่า สามีโดนคนที่ทำงานไม่ชอบขี้หน้าหรือเปล่าหนอ... แต่ถ้าคุณสามีได้ชอกโกแล็ตแบบ R ล่ะก็ บ้านแตก เป็นแน่!

ทางด้านวัน White Day ผู้ชายควรจะให้อะไรตอบแทนผู้หญิงที่ให้ชอกโกแล็ตตนในวันวาเลนไทน์ดี? จากผลการสำรวจพบว่า ผู้ชายญี่ปุ่นส่วนมากมักจะตอบแทนผู้หญิงที่ให้ชอกโกแล็ตแบบ แต่ตน ด้วยการพาไปเลี้ยงข้าวเย็น (ดินเนอร์ใต้แสงเทียน จากนั้นก็พากันไปทำอะไรต่ออ๊ะป่าวหนอ) , รองลงมาเป็นการให้เครื่องประดับ และคุกกี้ ในขณะที่ผู้หญิงญี่ปุ่นส่วนมากอยากได้เครื่องประดับ หรือไม่ก็การเลี้ยงข้าวเย็น จากผู้ชายที่ตนรัก(หรือสารภาพรักไป) โดยมากจะเป็นสิ่งของที่มูลค่าเฉลี่ยประมาณ 1000-3000 เยน ผู้ชายไม่จำเป็นต้องให้สิ่งของตอบแทนก็ผู้หญิงที่ให้ชอกโกแล็ตตนก็ได้ หากไม่รับการสารภาพรักของผู้หญิงคนนั้น

สำหรับการให้ของตอบแทนแก่ผู้หญิงที่ให้ชอกโกแล็ตแบบ R นั้น โดยมากผู้ชายจะให้คุกกี้ ไม่ก็ชอกโกแล็ตขาว หรือไม่ก็จะไม่ให้อะไรตอบเลย ในขณะที่ผู้หญิงก็อยากจะได้คุกกี้จากผู้ชายที่ตนให้ชอกโกแล็ตเป็นมารยาทเช่นกัน โดยเฉลี่ยมูลค่าสิ่งของก็ประมาณ 500-1000 เยน หรือต่ำกว่า

และนั่นก็เป็นเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเรื่องวันวาเลนไทน์และ White Day ของชาวญี่ปุ่นค่ะ หญิงไทยในญี่ปุ่นคนไหน อยากจะสารภาพรักชายหนุ่มที่ตนรัก หรือยืนยันความรัก ก็ควรจะให้ชอกโกแล็ตที่ทำด้วยตนเองนะค่ะ สำหรับชายหนุ่มคนไหนที่ได้ชอกโกแล็ตที่ไม่ได้ทำด้วยมือ หรือชอกโกแล็ตที่ไม่ใช่แบรนด์เนมราคาแพง ก็สามารถเดาได้ว่า ตัวเองแห้ว เฮ้ย ก็ยังมีผู้หญิงที่นับถือเรา (ในกรณีที่คุณเป็นรุ่นพี่ ก็เป็นได้แค่พี่ชายที่แสนดีเท่านั้น) หรืออยากกระชับความสัมพันธ์กับคุณมากขึ้น (จนอาจจะนำไปสู่การให้ชอกโกแล็ตแบบR ในสักปี (คงจะมีสักปี)) เพราะฉะนั้นใครที่ได้ชอกโกแล็ตหลายๆอัน แต่เป็นชอกโกแล็ตแบบ R คงไม่มีความสุขเท่ากับผู้ชายที่ได้ชอกโกแล็ตแบบ R เพียงอันเดียวอย่างแน่นอน สำหรับวัน White Day ก็อย่าลืมพาสาวที่เขาบอกรักไปเลี้ยงข้าว หรือไม่ก็ให้คุกกี้ หรือชอกโกแล็ตขาวตอบแทนล่ะ ยังไงก็อ่านวิธีการใช้ Love Hotel ที่ ประกอบไปด้วยก็ดีนะค่ะ เผื่อจะได้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน แบบว่า ถูกบอกรักแบบสายฟ้าแล่บ

สรุปแล้ว แบบที่เตือนเอาไว้แต่แรก ชาย(แท้)คนใดที่อยู่ในญี่ปุ่นอย่าได้หาญไปซื้อชอกโกแล็ตเพื่อใช้จีบสาวในวันวาเลนไทน์เชียว และถึงแม้ว่าคุณอยากจะซื้อมากินเอง (เพราะทนเห็นความสวยงามของแพ็จเกจไม่ไหว) ก็ควรจะวานให้เพื่อนผู้หญิงของคนซื้อให้จะดีกว่า เพื่อกันการโดนสังคมประนามว่าคุณเป็นชายไม่แท้!! ถ้าอยากจะซื้อให้รอซื้อเดือนมีนาคม สำหรับไว้ให้สาวในวัน White Day วาเลนไทน์นี้ รอเป็นผู้รับอย่างเดียวจะดีกว่านะค่ะ (เกิดเป็นผู้ชายต้องมีใจอดทน!)

ที่มา http://yamashitakumiko.exteen.com/20051027/valentine-s-white-day
 

(จักรวาล - universe)

     จักรวาล universe
เอกภพ  คือ ระบบที่รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติ ข้อมูลสำคัญของเอกภพคือ เส้นสเปกตรัมของดาราจักรเลื่อนไปทางสีแดงทำให้รู้ว่าเอกภพกำลังขยายตัว
การขยายตัวของเอกภพ
     เราทราบแล้วว่าเอกภพคือแหล่งรวมทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ รวมทั้งที่ว่างหรืออวกาศด้วย นักดาราศาสตร์ต่างได้ศึกษาเส้นสเปกตรัมจากธาตุที่อยู่ในดาราจักรแล้วพบว่า เส้นเลื่อนไปทางแดงหรือทางความถี่ต่ำแสดงว่าดาราจักรกำลังเคลื่อนที่ออกห่างไปเรื่อย ๆ ทำให้เกิดปัญหาข้อถกเถึยงกันถึงลักษณะของดาราจักรและเอกภพในอดีตว่าเป็นอย่างไร
     ในวงการดาราศาสตร์ได้มีทฤษฎีหนึ่งที่จะอธิบายการกำเนิดเอกภพและสาเหตุที่ดาราจักรกำลังเคลื่อนที่คือ ทฤษฎีการระเบิดใหญ่ (big-bang theory หรือทฤษฎีบิกแบง) โดย เลแมตร์ (G.Lemaitre) ได้กล่าวไว้ว่า ในอดีตเอกภพมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6,400 กิโลเมตร (4,000 ไมล์) เลอร์แมตร์ เรียกทรงกลมที่เป็นจุดกำเนิดของสสารนี้ว่า "อะตอมดึกดำบรรพ์" (Primeval Atom) เป็นอะตอมขนาดยักษ์ นำหนักประมาณ 2 พันล้านตันต่อลูกบาศก์นิ้ว (ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริงกับความหมายของอะตอมในปัจจุบันที่ให้ความหมายของอะตอม ว่าเป็นส่วยย่อยของโมเลกุล) อย่างไรก็ตามนักดาราศาสตร์ได้ถกเถียงและค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทฤษฎีนี้อย่างจริงจัง และกาโมว์ (G.Gamow) เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนทฤษฎีของเลอเมตร์ จากผลการคำนวณของกาโมว์ ในขณะที่อะตอมดึกดำบรรพ์ระเบิดขึ้น จะมีอุณภูมิสูงถึง 3 x 10^9 เคลวิน (3,000,000,000 เคลวิน) หลังจากเกิดการระเบิดประมาณ 5 วินาที อุณภูมิได้ลดลงเป็น 10^9 เคลวิน (1,000,000,000 เคลวิน) และเมื่อเวลาผ่านไป 3 x 10^8 ปี (300,000,000 ปี) อุณภูมิของเอกภพลดลงเป็น 200 เคลวิน
     ในที่สุดเอกภพก็ตกอยู่ในความมืดและเย็นไปนานมากจนกระทั่งมีดาราจักรเกิดขึ้น จึงเริ่มมีแสงสว่างและอุณภูมิเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปี พ.ศ.2472 ฮับเบิล (Edwin P.Hubble) ได้ศึกษาสเปกตรัมของดาราจักรต่างๆ 20 ดาราจักร ซึ่งอยู่ไกลที่สุดประมาณ 20 ล้านปีแสง พบว่าเส้นสเปกตรัมได้เคลื่อนไปทางแสงสีแดง ดาราจักรที่อยู่ห่างออกไปจะมีการเคลื่อนที่ไปทางแสงสีแดงมาก แสดงว่าดาราจักรต่างๆ กำลังคลื่นที่ห่างไกลออกไปจากโลกทุกทีทุกทีๆ พวกที่อยู่ไกลออกไปมากๆจะมีการเคลื่อนที่เร็วขึ้น ดาราจักรที่ห่างประมาณ2.5พันล้านปีแสง มีความเร็ว 38,000 ไมล์ต่อวินาที ส่วนพวกดาราจักร ที่อยู่ไกลกว่านี้มีควาเร็วมากขึ้นตามลำดับ ความสัมพันธ์ระหว่างระยะทางของดาราจักรและ ความเร็วแห่งการเคลื่อนที่ เรียกว่า "กฎฮับเบิล" ทฤษฎีนี้อาจเรียกว่า "การระเบิดของเอกภพ" (Exploding Universe) ซึ่งก็สนับสนุนกับแนวคิดของเลแมตร์เช่นกัน
ตำนานของดวงดาว
      ตามทฤษฎีฟิสิกส์ หลุมดำ หรือ (Black Hole) นั้นก็เปรียบได้กับดาวฤกษ์ที่ตายดับแล้วดาวบนฝากฟ้ามีเกิดมีตายด้วยหรือ อย่ากระนั้นเรามารับรู้ชะตาชีวิตของดวงดาวกันเสียหน่อย
      ดาวที่จะกลายเป็นหลุมดำนั้นคือ "ดาวฤกษ์" หรือดาวที่มีแสงสว่างในตัวเอง เช่น ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นก้อนก็าซร้อนๆที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ โดยมีไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นองค์ประกอบหลักพลังงานที่เราได้รับจากดวงอาทิตย์นั้น เกิดจากปฏิกริยานิวเคลียร์ที่ในแกนกลางของดาวและปฏิกริยานิวเคลียร์ที่ว่านี้นอกจากจะให้แสงสว่างแล้ว ยังทำให้เกิดแรงดันมหาศาลจากภายในดาวซึ่งจะทำหน้าที่พยุงไม่ให้ดาวทั้งดวงเกิดการยุบตัวลง

ทำไมดาวต้องยุบตัว?
      เพราะว่าตามธรรมชาติแล้ววัตถุทุกชนิดจะมีแรงดึงดูดระหว่างกัน แรงดึงดูดนี้ขึ้นกับมวลของวัตถุนั้นๆ ยิ่งมีมวลมากแรงก็จะยิ่งมาก ดวงดาวต่างๆที่เราเห็นบนท้องฟ้านั้น มีมวลมากมายมหาศาล แต่ละอนูแต่ละโมเลกุลของมันก็จะดึงดูดกันและกัน ตามกฏแรงดึงดูดระหว่างมวลของนิวตัน แรงดึงดูดที่ว่านี้มีความแรงมหาศาล หากว่าไม่มีแรงต้านจากปฎิกริยานิวเคลียร์แล้วดาวทั้งดวง ย่อมยุบตัวลงเหลือขนาดนิดเดียว
      นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาปรากฎการณ์การยุบตัวของดวงดาวทั้งในทางทฤษฏี
และการจำลองโดยใช้คอมพิวเตอร์ (Computer simulation) พวกเขาพบว่าในดาวที่มีขนาดใหญ่ เมื่อเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่มีอยู่ถูกเผาใหม้หมดไปดาวจะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ที่เรียกว่า " Supernova " ผิวนอกของดาวจะระเบิดตัวกระจายอยู่รอบๆ ส่วนแกนกลางของดาวจะยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว การยุบตัวนี้อาจจะทำให้ดาวกลายสภาพเป็น ดาวแคระขาว ดาวนิวตรอน หรือ หลุมดำ แล้วแต่กรณี ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป



จันทราสิขากับดาวแคระขาว
      คนแรกที่สามารถไขความลับเรื่องการยุบตัวของดวงดาวคือ นักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดีย ดร. สุบามายันต์ จันทราสิขา (Subrahmanyan Chandrasekhar) จันทราสิขาพบว่า ในดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อยกว่า 1.4เท่าของดวงอาทิตย์ (โดยประมาณ) เมื่อเผาใหม้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์จนหมดแล้วจะเกิดการยุบตัวลง เป็นวัตถุท้องฟ้าที่เรียกว่า ดาวแคระขาว (white dwarf)
จันทราสิขา นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ผู้ไขความลับการยุบตัวของดวงดาว
      จากการคำนวนโดยอาศัยกลศาสตร์ควอนตัม (Quantum mechanics) พบว่า
ในขณะที่ดาวยุบตัวเนื่องจากแรงโน้มถ่วง อะตอมของธาตุต่างๆจะถูกอัดให้ใกล้กันมาก
จนอิเลกตรอนของแต่ละอะตอมมาอยู่ใกล้กัน ปัญหามีอยู่ว่าอิเลกตรอนนั้นมีนิสัยประหลาดอยู่อย่างหนึ่งคือมันไม่ชอบอยู่ใกล้กัน เมื่อมันถูกจับให้มาอยู่ใกล้กันมากจนเกินไป มันจะผลักกันทำให้เกิดแรงดันขึ้น ซึ่งเรียกว่า Electron degeneracy pressure
แรงดันนี้เป็นคุณสมบัติทางควอนตัมฟิสิกส์ของอิเล็คตรอน ไม่ใช่เกิดจากแรงผลักของประจุไฟฟ้า แรงผลักจากประจุไฟฟ้านั้นมีค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับแรงบีบอัดเนื่องจากความโน้มถ่วง
เจ้าแรงดัน Electron degeneracy นี้มีค่ามากเสียจนกระทั่งสามารถหยุดยั้งการยุบตัวของดวงดาวได้ และทำให้เกิดเป็นวัตถุท้องฟ้าชนิดใหม่ซึ่งเรียกกันว่า ดาวแคระขาว เป็นดาวที่หนาวเย็นและมีขนาดเล็ก (ประมาณโลกของเรา) อย่างไรก็ตามถ้าหากว่าดาวมีมวลมากกว่า 1.4 เท่าของดวงอาทิตย์ แรงดันจากอิเลกตรอน จะไม่สามารถต้านทานการยุบตัวของดาวได้อีกต่อไป ดาวที่มีมวลมากกว่านี้จะเปลี่ยนสภาพเป็นวัตถุที่แปลกประหลาดยิ่งขึ้น
(หมายเหตุ ค่าจำกัดของมวลนี้เรียกว่า ลิมิตของจันทราสิขา, Chandrasekhar limit, เพื่อเป็น เกียรติแก่จันทราสิขานั่นเอง)

ที่มา http://www.rmutphysics.com/charud/naturemystery/sci3/universe/universe1.htm

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แนะนำตัว

Lemon-grass

ผู้จัดทำ
ด.ญ.ปิยะวรรณ   พันธุยา  เลขที่ 4
ด.ญ.สุรางคณา    สิตะเสน   เลขที่ 34
ด.ญ.พรชิตา   ใจทอง   เลขท่ 52     
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3